นัก ลงทุนลดความเสี่ยงหันไปซื้อเพชรเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น หลังราคาทองในตลาดโลกผันผวนหนัก ด้านสมาคมเจียระไนเพชรชี้เป็นโอกาสทองสำหรับช้อนซื้อเพชรราคาถูก ชี้ความเสี่ยงน้อย แต่โกยกำไรเฉลี่ย 20-30%
นาง สาวพิมพ์พินิจ กัลวทานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทคอนเทมโพรารี่ จิวเวลรี่ แอนด์ อาร์ต จำกัด ศูนย์กลางข้อมูลสำหรับการลงทุนเรื่องเพชร เปิดเผยกับ "ประชา ชาติธุรกิจ" ว่า สถานการณ์ความผันผวนของราคาทองคำในตลาดโลกทำให้คนไทยซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่น ใหม่และเจ้าของกิจการหลายรายแสดงความสนใจที่จะเข้ามาซื้อเพชรเพื่อการลงทุน กับบริษัทเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเพชรให้ผลตอบแทนสูงกว่าการเล่นหุ้น, ฝากเงินในธนาคาร โดยมีผลกำไรอัตราเฉลี่ยปีละ 20-30% รวมทั้งมีเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงในการขาดทุนน้อยกว่าการเก็งกำไรทองคำอีกด้วย
เนื่อง จากช่วงนี้ทั่วโลกมีการจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ อย่างต่อเนื่อง เช่น งานจิวเวลรี่แฟร์ที่ประเทศเยอรมนี งานฮ่องกงจิวเวลรี่ และงานบางกอกเจมส์ในไทย ส่งผลให้สถานการณ์ราคาเพชรในตลาดโลกเริ่มขยับตัวสูงขึ้น สำหรับผู้ที่สนใจซื้อเพชร หากลงทุนซื้อเพชรในช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีมากเพราะภาวะราคาเพชรโดยรวม ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การซื้อเพชรเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นทุกปี แค่มีเงินลงทุนประมาณ 350,000 บาทขึ้นไปก็สามารถซื้อเพชรขนาดตั้งแต่ 0.5-1 กะรัตไว้เก็งกำไรได้แล้ว
นายจีรกิตติ ตังครัช นายกสมาคมผู้ประกอบการเจียระไนเพชร เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2008 ราคาเพชรปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 15% แต่ หลังจากทั่วโลกประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ปริมาณความต้องการซื้อเพชรซึ่งอยู่ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยก็ปรับตัวลดลง อย่างมาก โดยราคาเพชรเริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว สังเกตได้จากราคาเพชรในตลาดขายปลีกปรับตัวลดลง 20-30% เพชรร่วงที่ผ่านการเจียระไนแล้วในกลุ่มตลาดค้าส่งปรับตัวลดลง 30-40% ส่วนเพชรดิบ (rough diamonds) ราคาร่วงลงถึง 30-50%
ตามปกติตลาด การค้าเพชรทั่วโลกจะมีมูลค่าการซื้อขายเพชรโดยเฉลี่ยปีละ 20,000 ล้าน เหรียญสหรัฐ ที่ผ่านมาผู้ประกอบการค้าเพชรส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมตัวว่าจะได้รับผลกระทบจาก ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้ต้องแบกรับภาระปัญหาสินค้าเพชรล้นสต๊อก (overall inventory) เป็นมูลค่าสูงถึง 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปริมาณเพชรที่มีอยู่ในสต๊อกขณะนี้เพียงพอสำหรับใช้ไปได้ถึง 3 ปีข้างหน้า
ปัญหา สินค้าเพชรล้นสต๊อกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ทำให้ผู้ค้า เพชรส่วนใหญ่ใน สหรัฐ และสหภาพยุโรป (อียู) ต้องแบกรับปัญหาหนี้สินเพิ่มสูงขึ้น ทำให้สถาบันการเงินต่างๆ พยายามเร่งรัดให้มีการเร่งชำระหนี้เพราะเกรงว่าหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะเจอ ปัญหาหนี้สูญ ทำให้ผู้ประกอบการค้าเพชรต้องเร่งระบายเพชรในสต๊อก เพื่อให้มีเงินสดเข้ามาชำระหนี้แบงก์ทำให้ราคาเพชรในตลาดโลกช่วงที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
จากการที่กำลังซื้อเพชรปรับตัวลดลงทั่ว โลก คาดว่าในปีนี้อุตสาหกรรมค้าเพชร จะมีมูลค่าการค้าเพชรเหลือเพียง 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าธุรกิจค้าปลีกเพชรจะมียอดขายน้อยลง 20-30% ส่วนตลาดค้าส่งเพชรที่ผ่านการเจียระไนแล้วคาดว่ามียอดขายลดลง 30-50% ส่วนธุรกิจค้าเพชรดิบคาดว่าจะมีรายได้ลดลงถึง 60% ทำให้มีโรงงานประกอบการเจียระไนเพชรในประเทศจีน อินเดีย ไทย ต้องทยอยปิดโรงงานไปอย่างต่อเนื่อง
"เหมืองเพชรทั่วโลกกำลัง พยายามแก้ไขปัญหาวิกฤตตกต่ำในอุตสาหกรรมค้าเพชร โดยลดกำลังการผลิตเพชรดิบในปีนี้ลดลง 50% ซึ่งหากเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้คาดว่าราคาเพชรในตลาดโลกจะปรับตัวเข้าสู่ ภาวะปกติได้ภายในกลางปี 2553 โดยราคาเพชรน่าจะปรับตัวสูงขึ้นเท่ากับราคาซื้อขายเพชรในปี 2551 ดังนั้นช่วงนี้จึงน่าจะเป็นจังหวะที่ดีสำหรับผู้ที่สนใจจะซื้อเพชรราคาถูก เพื่อเก็งกำไรในอนาคต" นายจีรกิตติกล่าวในที่สุด
ทาง ด้านนายวิชัย อัศรัสกร นายกสมาคมอัญมณีไทยและเครื่องประดับไทย ให้ความเห็นว่า ราคาเพชรในตลาดโลกขณะนี้ทรงตัวเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน แม้ว่าผู้ประกอบการค้าเพชรในตลาดโลกบางส่วนทยอยปล่อยเพชรออกสู่ตลาดมากขึ้น เพราะประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง แต่ก็ยังไม่ถึงกับทำให้ราคาเพชรปรับลดลงมากนัก เพราะยังมีเดอ เบีย เป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่มอนิเตอร์ราคาเพชรอยู่ ส่วนราคาเพชรในประเทศไม่ได้หวือหวาเหมือนราคาทองคำจึงไม่นิยมเก็งกำไรมากนัก
ทีมา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
|
ด้านรายงาน ข่าวจากบริษัทผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล เปิดเผยถึงตัวเลขเงินลงทุนในกองทุนส่วนบุคคลทั้งระบบในเดือนมกราคม 2552 ว่า ทั้งอุตสาหกรรมมีเงินลงทุนลดลงรวมกันทั้งสิ้น 21,582.15 ล้านบาท ทำให้เดือนแรกของปี กองทุนส่วนบุคคลทั้งระบบมีสินทรัพย์รวม 146,694.81 ล้านบาท ลดลงจากจำนวนเงินทั้งระบบ 168,276.96 ล้านบาทในช่วงปลายปี 2551 ที่ผ่านมา
โดยจากรายงานดังกล่าวพบว่า บริษัทจัดการที่อยู่ในอันดับต้นๆ 5 อันดับแรก ต่างมีสินทรัพย์ลดลงทั้งสิ้น โดยบลจ.กสิกรไทย ซึ่งมีมาร์เกตแชร์เป็น
อันดับ 1 มีสินทรัพย์ลดลงถึง 5,272.42 ล้านบาท
อันดับ 2 บลจ.วรรณ มีสินทรัพย์ลดลง 5,058.43 ล้านบาท
อันดับ 3.. บลจ.เอ็มเอฟซี สินทรัพย์ลดลงรวมทั้งสิ้น 5,059.43 ล้านบาท
อันดับ 4. บลจ.ทิสโก้ สินทรัพย์ลดลง 4,553.70 ล้านบาท และ
อันดับ 5.บลจ.ไอเอ็นจี มีสินทรัพย์ลดลงรวมกันกว่า 579.77 ล้านบาท
|
ภาพรวมของบริษัทจัดการกองทุนในอุตสาหกรรม จากกองทุนใหม่ที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการโยกเงินเข้ามาหาผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก ส่งผลให้หลายบลจ. มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทจัดการที่มีส่วนแบ่งการตลาด 10 อันดับแรกยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยบลจ.ไทยพาณิชย์ ยังคงมีเงินลงทุนในกองทุนรวมสูงสุดเป็น
อันดับ 1 ด้วยสินทรัพย์รวม 320,504.20 ล้านบาท ในขณะที่บลจ.กสิกรไทย ยังตามมาเป็น
อันดับ 2 เช่นเดิม ด้วยจำนวนเงินลงทุนรวม 288,219.11 ล้านบาท และ
อันดับ 3 บลจ.บัวหลวง ด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวม 137,046.60 ล้านบาท
อันดับ 4 บลจ.ทหารไทย ซึ่งมีเงินลงทุนรวม 132,368.97 ล้านบาท
อันดับ 5. บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีสินทรัพย์รวม 109,099.84 ล้านบาท ตามมาด้วย
อันดับ 6. บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวม 104,189.83 ล้านบาท ส่วน
อันดับ 7 ได้แก่ บลจ.ธนชาต มีสินทรัพย์รวม 77,625.98 ล้านบาท
อันดับ 8.บลจ.ยูโอบี (ไทย) จำกัด ซึ่งมีเงินลงทุนรวม 48,009.57 ล้านบาท
อันดับ 9. บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กับสินทรัพย์รวม 46,844.82 ล้านบาท และ
อันดับ 10. บลจ.อยุธยา ด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวม 35,827,14 ล้านบาท
|
ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) รายงานว่า สภาวะตลาดตราสารหนี้ในช่วงเดือนผ่านมา ค่อนข้างผันผวนโดยมีทั้งปัจจัยภายนอก และภายในที่เข้ามากระทบ ปัจจัย ภายในจากการที่คณะกรรมการ นโยบายการเงิน( กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ย RP 1 วันไว้ที่ 3.25% ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ก่อนที่จะมีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% จึงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรปรับตัวลดลงทันทีกว่า 20 bp. ในช่วงอายุ 5-10 ปี แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ก.พ. จะออกมาสูงถึง 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำหรับปัจจัยภายนอก จะมุ่งไปที่สภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา โดยตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา แสดงให้เห็นถึงการถดถอยทางเศรษฐกิจ โดยสาเหตุหลักมาจากปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของสินเชื่อด้อยคุณภาพและทำให้ สินทรัพย์ทางการเงินที่เกี่ยวข้อง เช่น CDO ด้อยค่าลงอย่างมากและกระทบต่อสถาบันการเงินต่างๆ ทำให้สถาบันการเงินจำเป็นต้องทำการเพิ่มทุนและเริ่มมีการผิดนัดชำระหนี้ สำหรับบริษัทที่ปล่อยกู้ให้แก่สินเชื่อด้อยคุณภาพ และส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Cross Default ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อบริษัทผิดนัดชำระหนี้ (Default) กับเจ้าหนี้รายใดรายหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ และจะทำให้บริษัทเจ้าหนี้ดังกล่าวผิดนัดชำระหนี้กับเจ้าหนี้รายอื่นๆไปด้วย
แม้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐเข้าสู่ภาวะชะลอตัวหรืออาจจะถึงขั้นถดถอยแต่ ราคาน้ำมันก็ไม่ได้ปรับลดลงเนื่องจากกลุ่มโอเปกได้มีมติ ตรึงกำลังการผลิต ความขัดแย้งในโคลัมเบีย และแนวโน้มค่าเงินสหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเรื่อยๆ เนื่องจากคาดการณ์ ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะทำการลดดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ราคาสินค้าต่างๆ ในประเทศก็ยังคงปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากราคาต้นทุนที่สูงขึ้น
ดังนั้น คาดว่าอัตราเงินเฟ้ออาจจะมีการปรับตัวลดลงได้ไม่มากนักในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งอาจจะเป็นแรงกดดันทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่สามารถที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้มากนัก ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการต่างๆ โดยการใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุล และมีการออกพันธบัตรมากขึ้นเพื่อที่จะชดเชยรายจ่าย ซึ่งทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนปรับตัวชันมากขึ้น
|