นัก ลงทุนลดความเสี่ยงหันไปซื้อเพชรเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น หลังราคาทองในตลาดโลกผันผวนหนัก ด้านสมาคมเจียระไนเพชรชี้เป็นโอกาสทองสำหรับช้อนซื้อเพชรราคาถูก ชี้ความเสี่ยงน้อย แต่โกยกำไรเฉลี่ย 20-30%
นาง สาวพิมพ์พินิจ กัลวทานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทคอนเทมโพรารี่ จิวเวลรี่ แอนด์ อาร์ต จำกัด ศูนย์กลางข้อมูลสำหรับการลงทุนเรื่องเพชร เปิดเผยกับ "ประชา ชาติธุรกิจ" ว่า สถานการณ์ความผันผวนของราคาทองคำในตลาดโลกทำให้คนไทยซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่น ใหม่และเจ้าของกิจการหลายรายแสดงความสนใจที่จะเข้ามาซื้อเพชรเพื่อการลงทุน กับบริษัทเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเพชรให้ผลตอบแทนสูงกว่าการเล่นหุ้น, ฝากเงินในธนาคาร โดยมีผลกำไรอัตราเฉลี่ยปีละ 20-30% รวมทั้งมีเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงในการขาดทุนน้อยกว่าการเก็งกำไรทองคำอีกด้วย
เนื่อง จากช่วงนี้ทั่วโลกมีการจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ อย่างต่อเนื่อง เช่น งานจิวเวลรี่แฟร์ที่ประเทศเยอรมนี งานฮ่องกงจิวเวลรี่ และงานบางกอกเจมส์ในไทย ส่งผลให้สถานการณ์ราคาเพชรในตลาดโลกเริ่มขยับตัวสูงขึ้น สำหรับผู้ที่สนใจซื้อเพชร หากลงทุนซื้อเพชรในช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีมากเพราะภาวะราคาเพชรโดยรวม ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การซื้อเพชรเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นทุกปี แค่มีเงินลงทุนประมาณ 350,000 บาทขึ้นไปก็สามารถซื้อเพชรขนาดตั้งแต่ 0.5-1 กะรัตไว้เก็งกำไรได้แล้ว
นายจีรกิตติ ตังครัช นายกสมาคมผู้ประกอบการเจียระไนเพชร เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2008 ราคาเพชรปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 15% แต่ หลังจากทั่วโลกประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ปริมาณความต้องการซื้อเพชรซึ่งอยู่ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยก็ปรับตัวลดลง อย่างมาก โดยราคาเพชรเริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว สังเกตได้จากราคาเพชรในตลาดขายปลีกปรับตัวลดลง 20-30% เพชรร่วงที่ผ่านการเจียระไนแล้วในกลุ่มตลาดค้าส่งปรับตัวลดลง 30-40% ส่วนเพชรดิบ (rough diamonds) ราคาร่วงลงถึง 30-50%
ตามปกติตลาด การค้าเพชรทั่วโลกจะมีมูลค่าการซื้อขายเพชรโดยเฉลี่ยปีละ 20,000 ล้าน เหรียญสหรัฐ ที่ผ่านมาผู้ประกอบการค้าเพชรส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมตัวว่าจะได้รับผลกระทบจาก ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้ต้องแบกรับภาระปัญหาสินค้าเพชรล้นสต๊อก (overall inventory) เป็นมูลค่าสูงถึง 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปริมาณเพชรที่มีอยู่ในสต๊อกขณะนี้เพียงพอสำหรับใช้ไปได้ถึง 3 ปีข้างหน้า
ปัญหา สินค้าเพชรล้นสต๊อกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ทำให้ผู้ค้า เพชรส่วนใหญ่ใน สหรัฐ และสหภาพยุโรป (อียู) ต้องแบกรับปัญหาหนี้สินเพิ่มสูงขึ้น ทำให้สถาบันการเงินต่างๆ พยายามเร่งรัดให้มีการเร่งชำระหนี้เพราะเกรงว่าหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะเจอ ปัญหาหนี้สูญ ทำให้ผู้ประกอบการค้าเพชรต้องเร่งระบายเพชรในสต๊อก เพื่อให้มีเงินสดเข้ามาชำระหนี้แบงก์ทำให้ราคาเพชรในตลาดโลกช่วงที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
จากการที่กำลังซื้อเพชรปรับตัวลดลงทั่ว โลก คาดว่าในปีนี้อุตสาหกรรมค้าเพชร จะมีมูลค่าการค้าเพชรเหลือเพียง 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าธุรกิจค้าปลีกเพชรจะมียอดขายน้อยลง 20-30% ส่วนตลาดค้าส่งเพชรที่ผ่านการเจียระไนแล้วคาดว่ามียอดขายลดลง 30-50% ส่วนธุรกิจค้าเพชรดิบคาดว่าจะมีรายได้ลดลงถึง 60% ทำให้มีโรงงานประกอบการเจียระไนเพชรในประเทศจีน อินเดีย ไทย ต้องทยอยปิดโรงงานไปอย่างต่อเนื่อง
"เหมืองเพชรทั่วโลกกำลัง พยายามแก้ไขปัญหาวิกฤตตกต่ำในอุตสาหกรรมค้าเพชร โดยลดกำลังการผลิตเพชรดิบในปีนี้ลดลง 50% ซึ่งหากเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้คาดว่าราคาเพชรในตลาดโลกจะปรับตัวเข้าสู่ ภาวะปกติได้ภายในกลางปี 2553 โดยราคาเพชรน่าจะปรับตัวสูงขึ้นเท่ากับราคาซื้อขายเพชรในปี 2551 ดังนั้นช่วงนี้จึงน่าจะเป็นจังหวะที่ดีสำหรับผู้ที่สนใจจะซื้อเพชรราคาถูก เพื่อเก็งกำไรในอนาคต" นายจีรกิตติกล่าวในที่สุด
ทาง ด้านนายวิชัย อัศรัสกร นายกสมาคมอัญมณีไทยและเครื่องประดับไทย ให้ความเห็นว่า ราคาเพชรในตลาดโลกขณะนี้ทรงตัวเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน แม้ว่าผู้ประกอบการค้าเพชรในตลาดโลกบางส่วนทยอยปล่อยเพชรออกสู่ตลาดมากขึ้น เพราะประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง แต่ก็ยังไม่ถึงกับทำให้ราคาเพชรปรับลดลงมากนัก เพราะยังมีเดอ เบีย เป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่มอนิเตอร์ราคาเพชรอยู่ ส่วนราคาเพชรในประเทศไม่ได้หวือหวาเหมือนราคาทองคำจึงไม่นิยมเก็งกำไรมากนัก
ทีมา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
|
ด้านรายงาน ข่าวจากบริษัทผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล เปิดเผยถึงตัวเลขเงินลงทุนในกองทุนส่วนบุคคลทั้งระบบในเดือนมกราคม 2552 ว่า ทั้งอุตสาหกรรมมีเงินลงทุนลดลงรวมกันทั้งสิ้น 21,582.15 ล้านบาท ทำให้เดือนแรกของปี กองทุนส่วนบุคคลทั้งระบบมีสินทรัพย์รวม 146,694.81 ล้านบาท ลดลงจากจำนวนเงินทั้งระบบ 168,276.96 ล้านบาทในช่วงปลายปี 2551 ที่ผ่านมา
โดยจากรายงานดังกล่าวพบว่า บริษัทจัดการที่อยู่ในอันดับต้นๆ 5 อันดับแรก ต่างมีสินทรัพย์ลดลงทั้งสิ้น โดยบลจ.กสิกรไทย ซึ่งมีมาร์เกตแชร์เป็น
อันดับ 1 มีสินทรัพย์ลดลงถึง 5,272.42 ล้านบาท
อันดับ 2 บลจ.วรรณ มีสินทรัพย์ลดลง 5,058.43 ล้านบาท
อันดับ 3.. บลจ.เอ็มเอฟซี สินทรัพย์ลดลงรวมทั้งสิ้น 5,059.43 ล้านบาท
อันดับ 4. บลจ.ทิสโก้ สินทรัพย์ลดลง 4,553.70 ล้านบาท และ
อันดับ 5.บลจ.ไอเอ็นจี มีสินทรัพย์ลดลงรวมกันกว่า 579.77 ล้านบาท
|
ภาพรวมของบริษัทจัดการกองทุนในอุตสาหกรรม จากกองทุนใหม่ที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการโยกเงินเข้ามาหาผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก ส่งผลให้หลายบลจ. มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทจัดการที่มีส่วนแบ่งการตลาด 10 อันดับแรกยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยบลจ.ไทยพาณิชย์ ยังคงมีเงินลงทุนในกองทุนรวมสูงสุดเป็น
อันดับ 1 ด้วยสินทรัพย์รวม 320,504.20 ล้านบาท ในขณะที่บลจ.กสิกรไทย ยังตามมาเป็น
อันดับ 2 เช่นเดิม ด้วยจำนวนเงินลงทุนรวม 288,219.11 ล้านบาท และ
อันดับ 3 บลจ.บัวหลวง ด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวม 137,046.60 ล้านบาท
อันดับ 4 บลจ.ทหารไทย ซึ่งมีเงินลงทุนรวม 132,368.97 ล้านบาท
อันดับ 5. บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีสินทรัพย์รวม 109,099.84 ล้านบาท ตามมาด้วย
อันดับ 6. บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวม 104,189.83 ล้านบาท ส่วน
อันดับ 7 ได้แก่ บลจ.ธนชาต มีสินทรัพย์รวม 77,625.98 ล้านบาท
อันดับ 8.บลจ.ยูโอบี (ไทย) จำกัด ซึ่งมีเงินลงทุนรวม 48,009.57 ล้านบาท
อันดับ 9. บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กับสินทรัพย์รวม 46,844.82 ล้านบาท และ
อันดับ 10. บลจ.อยุธยา ด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวม 35,827,14 ล้านบาท
|
ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) รายงานว่า สภาวะตลาดตราสารหนี้ในช่วงเดือนผ่านมา ค่อนข้างผันผวนโดยมีทั้งปัจจัยภายนอก และภายในที่เข้ามากระทบ ปัจจัย ภายในจากการที่คณะกรรมการ นโยบายการเงิน( กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ย RP 1 วันไว้ที่ 3.25% ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ก่อนที่จะมีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% จึงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรปรับตัวลดลงทันทีกว่า 20 bp. ในช่วงอายุ 5-10 ปี แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ก.พ. จะออกมาสูงถึง 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำหรับปัจจัยภายนอก จะมุ่งไปที่สภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา โดยตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา แสดงให้เห็นถึงการถดถอยทางเศรษฐกิจ โดยสาเหตุหลักมาจากปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของสินเชื่อด้อยคุณภาพและทำให้ สินทรัพย์ทางการเงินที่เกี่ยวข้อง เช่น CDO ด้อยค่าลงอย่างมากและกระทบต่อสถาบันการเงินต่างๆ ทำให้สถาบันการเงินจำเป็นต้องทำการเพิ่มทุนและเริ่มมีการผิดนัดชำระหนี้ สำหรับบริษัทที่ปล่อยกู้ให้แก่สินเชื่อด้อยคุณภาพ และส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Cross Default ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อบริษัทผิดนัดชำระหนี้ (Default) กับเจ้าหนี้รายใดรายหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ และจะทำให้บริษัทเจ้าหนี้ดังกล่าวผิดนัดชำระหนี้กับเจ้าหนี้รายอื่นๆไปด้วย
แม้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐเข้าสู่ภาวะชะลอตัวหรืออาจจะถึงขั้นถดถอยแต่ ราคาน้ำมันก็ไม่ได้ปรับลดลงเนื่องจากกลุ่มโอเปกได้มีมติ ตรึงกำลังการผลิต ความขัดแย้งในโคลัมเบีย และแนวโน้มค่าเงินสหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเรื่อยๆ เนื่องจากคาดการณ์ ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะทำการลดดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ราคาสินค้าต่างๆ ในประเทศก็ยังคงปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากราคาต้นทุนที่สูงขึ้น
ดังนั้น คาดว่าอัตราเงินเฟ้ออาจจะมีการปรับตัวลดลงได้ไม่มากนักในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งอาจจะเป็นแรงกดดันทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่สามารถที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้มากนัก ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการต่างๆ โดยการใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุล และมีการออกพันธบัตรมากขึ้นเพื่อที่จะชดเชยรายจ่าย ซึ่งทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนปรับตัวชันมากขึ้น
|
ในปัจจุบันนี้ภาวะการลงทุนในตราสารทุนในปี 2551-ต้นปี 2552 คาดว่าจะมีความผันผวนสูงต่อเนื่องมาจากช่วงปลายปี 2550 จากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นใจของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และปัญหาสภาพคล่องที่ตึงตัวของสหรัฐฯที่มีผลมาจากเงินกู้ในภาคอสังหาริม ทรัพย์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ จากปัจจัยด้านลบต่างๆ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ใช้นโยบายการลงทุนที่มีความระมัดระวังสูง โดยบริษัทได้ใช้การวิเคราะห์เศรษฐกิจ และหลักทรัพย์ทั้งภายใน และภายนอกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยในการเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีฐานะทางการเงินที่ดี และมีแนวโน้มในการขยายตัวสูง
ในขณะเดียวกันก็มีการกระจายการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะถูกควบคุมโดยระบบป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ที่จะมาช่วยในการลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่างๆ ภายใต้ภาวะการลงทุนที่มีความผันผวนสูง อย่างไรก็ตาม ภายใต้ปัจจัยกดดันต่างๆ ฝ่ายลงทุนมองเห็นโอกาสในการลงทุนในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง โดยผู้จัดการกองทุนได้ปรับนโยบายการบริหารกองทุนที่ค่อนข้าง Active เพื่อให้สอดคล้องกับความผันผวนของตลาด ซึ่งเป็นกลยุทธการลงทุนที่บริษัทใช้มาตั้งแต่ปี 2550 และได้ผลตอบแทนที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก โดยผลตอบแทนในช่วงปี 2550 สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ถึง 19%
กองทุนตราสารทุนที่อยู่ภายใต้การบริหาร และจัดการมีจำนวนหลายกองทุนด้วยกัน ในโอกาสนี้ ขอหยิบยกกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นทุนปันผล ( KTSF) มาแนะนำ เพราะเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนทั่วไป ที่รับความเสี่ยงได้ และมีความสนใจการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ไม่มีเวลาศึกษาหรือ ลงทุนได้ด้วยตนเอง ก็สามารถลงทุนผ่านกองทุนดังกล่าวได้ โดยผู้ลงทุนสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ และขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันจันทร์ เป็นกองทุนที่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ในปี 2550 จ่ายปันผลทั้งสิ้น 3 ครั้ง จำนวนรวม 1.50 บาท ผลตอบแทน Year to date ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 อยู่ที่ -1.35% ในขณะที่ SET 50 อยู่ที่ -2.59% นักลงทุนที่สนใจอาจจะหาจังหวะเข้าลงทุน เพราะในปีนี้ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นมีความผันผวนค่อนข้างสูง
|
เกี่ยวกับความแตกต่างของกองทุน RMF – LTF
สำหรับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund :LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF) ในแง่วัตถุประสงค์ของกองทุนอาจจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งกองทุน RMF นั้น มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว และให้ผู้ลงทุนออมเงินผ่านกองทุนรวมไว้ใช้ในวัยเกษียณ ขณะที่กองทุน LTF มีจุดประสงค์เพื่อสร้างเสถียรภาพของตลาดหุ้น ด้วยการส่งเสริมให้ผู้ลงทุนรายย่อยลงทุนในตลาดหุ้นผ่านกองทุนรวม โดยมีระยะเวลาในการลงทุนที่ยาวขึ้น...แต่หากพูดถึงจุดประสงค์เพื่อการออม แล้ว ทั้งสองกองนี้ไม่ต่างกันมากนัก และเพื่อให้เข้าใจความแตกต่างของ กองทุน RMF – LTF มากขึ้น จะขอตอบให้เห็นภาพมากขึ้น โดยแยกเป็นหัวข้อและตอบควบคู่กันไปทั้ง RMF – LTF
เงื่อนไข
RMF : ต้องซื้อหน่วยลงทุนในแต่ละปีเป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า 3% ของเงินได้ในแต่ละปี หรือไม่ต่ำ กว่า 5,000 บาท แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า แต่ต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปี และเมื่อ รวมกับเงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการแล้ว ต้องไม่ เกิน 300,000 บาท สำหรับปีภาษีนั้นๆ ด้วย โดยต้องมีการลงทุนต่อเนื่องกันทุกปี แต่สามารถ ระงับการลงทุนได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน ทั้งนี้ จะต้องมีปีในการลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี และต้อง ถือไว้จนกระทั่งอายุ 55 ปีบริบูรณ์ ถึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีครบถ้วน คือ ไม่ต้องเสีย ภาษีกำไรจากการลงทุน (ถ้ามี) และไม่ต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับมาย้อนหลัง 5 ปี
LTF : ลงทุนไม่เกิน 15% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งไม่ต้องนับรวมกับการลงทุนหรือเงิน สะสมใดๆ ในแต่ละปี (ผู้ลงทุนที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี จะต้องซื้อหน่วยลงทุน ภายในปี 2559 เท่านั้น) โดยไม่มีเงื่อนไขให้ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี ทั้งนี้ เมื่อลงทุนแล้วต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทิน ถึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีครบถ้วน คือ ไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการลงทุน (ถ้ามี) และไม่ต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับมาจากเงินลงทุนที่ขายคืนนั้น
สิทธิประโยชน์
RMF : 1. สามารถนำเงินไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่จ่ายจริง ตามเงื่อนไขการลงทุนที่กล่าวมาข้างต้น
2. กำไรที่ได้จากการขายหน่วยลงทุน (capital gain) ได้รับการยกเว้นภาษี เมื่อได้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวม RMF มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันซื้อหน่วยลงทุนครั้งแรก
LTF : 1. สามารถนำเงินไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่จ่ายจริง ตามเงื่อนไขการลงทุนที่กล่าวมาข้างต้น
2. กำไรที่ได้จากการขายหน่วยลงทุน (capital gain) ได้รับการยกเว้นภาษี เมื่อได้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวม LTF มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทิน
นโยบาย
RMF : มีหลากหลายนโยบายให้เลือกเหมือนกองทุนรวมทั่วไป โดยสามารถลงทุนได้ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ หรือลงทุนแบบผสมทั้งหุ้นและตราสารหนี้
LTF : เป็นกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว จึงเป็นกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ในระดับสูง ฉะนั้นผู้ลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวม LTF นี้จะต้องยอมรับความเสี่ยงได้สูงด้วย
การขายคืนหน่วยลงทุน
RMF : สามารถขายคืนได้ทุกวันทำการ หรือตามวันที่กำหนดไว้ในโครงการโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง
LTF : สามารถขายคืนได้ปีละไม่เกิน 2 ครั้ง ตามวันที่ได้กำหนดไว้ในโครงการ
|